ฉีด prp หน้าใส หรือ Platelet-Rich Plasma คือการฟื้นฟูผิวที่ได้รับการยอมรับในวงการความงามอย่างแพร่หลาย และกลายเป็นเทคนิคที่ฮิตสุดๆ สำหรับใครที่ต้องการมีผิวหน้าสวยใสอย่างเป็นธรรมชาติ หลักการของ PRP นั้นง่ายและมีประสิทธิภาพ โดยการใช้พลาสมาที่ได้จากเลือดของตัวเอง สกัดจนได้เกล็ดเลือดเข้มข้นที่อุดมไปด้วย Growth Factor ซึ่งสามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ กระบวนการนี้ช่วยให้ผิวของคุณกลับมายืดหยุ่น ดูกระชับ และกระจ่างใสอย่างแท้จริง การใช้เลือดของตัวเองยังลดความเสี่ยงต่อการแพ้และการติดเชื้อ เรียกได้ว่าเป็นวิธีฟื้นฟูผิวที่ทั้งปลอดภัยและให้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหัตถการนี้ถึงเป็นที่พูดถึงและได้รับความนิยมขนาดนี้ หากคุณอยากสัมผัสผิวที่กระจ่างใสอย่างล้ำลึก ลองเปิดใจให้ PRP แล้วคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอน
ประโยชน์ของ ฉีด prp หน้าใส ในด้านการฟื้นฟูผิว
ช่วยลดริ้วรอยและรอยดำ
การฉีด PRP ช่วยกระตุ้นกระบวนการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิว โดยคอลลาเจนจะทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและเติมเต็มริ้วรอยลึก ขณะที่อีลาสตินช่วยให้ผิวคงความกระชับ ซึ่ง PRP สามารถลดริ้วรอยลึกได้ถึง 30-50% หลังการรักษาต่อเนื่องประมาณ 3-4 ครั้ง และช่วยให้รอยดำต่างๆ เช่น รอยฝ้า กระ หรือรอยสิว ดูจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมักเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนหลังจากการรักษาภายใน 2-3 สัปดาห์
เพิ่มความยืดหยุ่นและความชุ่มชื้นให้กับผิว
ไม่เพียงแค่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในชั้นผิว ส่งผลให้ผิวหน้ามีความชุ่มชื้นจากภายใน เมื่อใช้ ต่อเนื่องประมาณ 3-6 เดือน ผิวจะดูเปล่งปลั่ง กระจ่างใส และมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นถึง 20-30% ซึ่งเป็นการปรับสภาพผิวที่ทำให้หน้าดูอ่อนเยาว์ ลดความแห้งกร้านที่เกิดจากการโดนแดดหรือความเครียดได้อย่างเห็นผล
ช่วยแก้ปัญหารูขุมขนกว้างและรอยสิว
รูขุมขนกว้างและรอยแผล เป็นจากสิวมักเป็นปัญหาที่แก้ไขยาก แต่หัตถการนี้สามารถช่วยกระชับรูขุมขนและลดรอยแผลเป็นได้ เนื่องจากการกระตุ้นให้เซลล์ผิวผลิตคอลลาเจนใหม่ เมื่อเข้ารับการฉีด PRP ต่อเนื่องประมาณ 3 ครั้ง ความลึกของรอยแผลเป็นจากสิวจะลดลงถึง 30-50% ขึ้นอยู่กับสภาพผิวเดิม อีกทั้งยังช่วยให้รูขุมขนดูเล็กลงจนผิวหน้าเรียบเนียนขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติและยั่งยืน
หนึ่งในจุดเด่นของการ ฉีด prp หน้าใส คือ การฟื้นฟูผิวจากภายในโดยใช้กลไกธรรมชาติของร่างกาย ไม่มีการเติมสารเคมีหรือส่วนผสมภายนอกใดๆ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและยั่งยืน เมื่อฉีดต่อเนื่องทุก 4-6 สัปดาห์ ผลลัพธ์ที่ได้รับสามารถคงอยู่ได้นานถึง 12-18 เดือน โดยขึ้นอยู่กับการดูแลและสุขภาพผิวของแต่ละคน ทั้งนี้ หากคุณได้อ่านจากบทความรีจูรันช่วยเรื่องอะไร? ไปแล้ว จะสังเกตได้ว่าทั้งสองอย่างนี้ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน แต่พีอาร์พีจะทำจากเกล็ดพลาสมาของผู้ทำ แต่รีจูรันจะสกัดมาจากปลาแซลม่อนนั่นเอง
กระบวนการสำคัญ ฉีด prp หน้าใส ที่ควรรู้
1. ขั้นตอนการสกัด จากเลือด
ขั้นตอนแรกเริ่มจากการเจาะเลือดในปริมาณเล็กน้อยประมาณ 15-20 มิลลิลิตรจากข้อพับแขนของผู้เข้ารับการรักษา โดยเลือดที่ได้จะถูกนำไปผ่านกระบวนการปั่นเหวี่ยงด้วยเครื่อง Centrifuge ใช้เวลา 10-15 นาที เครื่องนี้จะช่วยแยกพลาสมาที่อุดมไปด้วยเกล็ดเลือดออกจากส่วนอื่นๆ ของเลือด ทำให้ได้พลาสมาเข้มข้นซึ่งมี Growth Factor สูงที่พร้อมสำหรับการฟื้นฟูผิว การปั่นแยกเลือดนี้ช่วยให้ได้ PRP ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการทำให้การรักษามีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่ดี
2. การฉีดเข้าในผิวหน้า
หลังจากได้ PRP ที่มีความเข้มข้นแล้ว แพทย์จะทำการฉีดเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการฟื้นฟูบนใบหน้า เช่น ริ้วรอยรอบดวงตา, หน้าผาก, หรือจุดที่มีปัญหารอยแผลเป็น ขั้นตอนนี้ใช้เข็มขนาดเล็กและอาจใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการทำการรักษา การฉีดนอกจากจะช่วยกระตุ้นคอลลาเจนแล้วยังช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อในชั้นผิวได้อย่างตรงจุด และเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด แพทย์อาจแนะนำให้ทำซ้ำทุก 4-6 สัปดาห์ ซึ่งผู้รับการรักษามักจะเห็นผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ
3. เวลาที่ใช้ในกระบวนการและการเตรียมตัวก่อนฉีด
กระบวนการทั้งหมดตั้งแต่เริ่มเจาะเลือดจนถึงการฉีด PRP เข้าผิวใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การเตรียมตัวก่อนการทำ PRP ก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยควรงดการดื่มแอลกอฮอล์และยากลุ่ม NSAIDs เช่น ยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบ อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการรักษา เนื่องจากสารเหล่านี้อาจส่งผลต่อเกล็ดเลือดและประสิทธิภาพ การดื่มน้ำให้เพียงพอในช่วง 2-3 วันก่อนการรักษาก็ช่วยให้เลือดมีความเข้มข้นขึ้น ทำให้ได้เกล็ดเลือดที่มีคุณภาพสูง
การดูแลผิวหลังการฉีด
เพื่อให้ผลลัพธ์คงทนานและได้ประสิทธิภาพมากที่สุด เราแนะนำให้ใช้ครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์เข้มข้น ทาครีมบำรุงเช้าและเย็นต่อเนื่องอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำ อีกทั้งควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน ครีมกันแดดจะช่วยป้องกันรังสี UV ซึ่งอาจทำลายผิวที่กำลังฟื้นตัว
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหลังการฉีด
- หลีกเลี่ยงการออกแดดโดยตรง : ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดโดยตรงเช่นเดียวกับการทำเทอร์มาจ เนื่องจากผิวจะมีความไวต่อแสง ทำให้เสี่ยงต่อการระคายเคืองและการเกิดจุดด่างดำได้ง่ายขึ้น
- งดการแต่งหน้า : หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าในช่วงแรกหลังการฉีด เพื่อป้องกันการอุดตันและการระคายเคืองที่อาจเกิดจากเครื่องสำอาง ควรให้ผิวได้ฟื้นตัวโดยปราศจากสารเคมีในช่วงนี้
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์มีรุนแรง : หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารเคมีรุนแรง เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้, กลุ่มครีมอนุพันธ์วิตามินเอ, หรือสารสครับผิว ซึ่งอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและเหมาะสำหรับผิวบอบบางแทน
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้า : หลีกเลี่ยงการลูบหน้าบ่อยๆ โดยเฉพาะการกดหรือถูผิวแรงๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อและลดความเสี่ยงที่ผิวจะระคายเคือง ควรรักษาความสะอาดของมือหากจำเป็นต้องสัมผัสใบหน้า
- เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงที่อ่อนโยน : เพื่อให้ผิวฟื้นตัวได้ดี ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยนและปราศจากสารระคายเคือง ใช้ครีมบำรุงที่ให้ความชุ่มชื้นและช่วยเสริมการฟื้นฟูของผิวอย่างเต็มที่
ระยะเวลาในการฟื้นตัวและผลข้างเคียง
- อาการบวมแดงหลังการฉีด : หลังการฉีด อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ โดยทั่วไปอาการงนี้จะเริ่มลดลงภายใน 24-48 ชั่วโมง และจะหายไปเองภายใน 3-5 วัน
- เมื่อมีอาการระคายเคืองหรือบวมมาก : หากมีอาการระคายเคืองหรือบวมมาก ๆ คุณสามารถใช้วิธีประคบเย็นเบาๆ เพื่อลดการอักเสบและความบวม การประคบเย็นจะช่วยบรรเทาอาการและทำให้รู้สึกสบายผิวมากขึ้น
- ข้อควรระวังในการออกกำลังกาย : ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ ในช่วง 1-2 วันแรก เนื่องจากการออกกำลังกายอาจทำให้เกิดการกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ซึ่งอาจทำให้อาการบวมแดงหายช้าลง
- ดื่มน้ำเพื่อให้ผิวชุ่มชื้น : ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการฟื้นตัวของผิว ช่วยให้ผิวสามารถซึมซับสารอาหารและฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่
- การทำซ้ำตามคำแนะนำของแพทย์ : สำหรับผลลัพธ์ที่ยาวนาน แพทย์อาจแนะนำให้ทำซ้ำทุก 4-6 สัปดาห์ เพื่อเสริมการฟื้นฟูผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่
ฉีด prp หน้าใส เหมาะกับใคร และข้อควรระวัง
กลุ่มคนที่เหมาะสม
- ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าแบบธรรมชาติ : สำหรับผู้ที่ต้องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหน้า เพื่อให้ผิวดูเรียบเนียนและกระชับโดยไม่ต้องใช้สารเคมีหรือวิธีการผ่าตัด การฟื้นฟูด้วยใช้เลือดของผู้เข้ารับบริการเอง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการแพ้และการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ผู้ที่ต้องการลดริ้วรอยเล็กๆ บนใบหน้า : สำหรับผู้ที่มีริ้วรอยเล็กๆ ที่เกิดจากการแสดงอารมณ์หรืออายุที่เพิ่มขึ้น หัตถการนี้สามารถช่วยให้ริ้วรอยเหล่านี้ดูจางลง โดยการฟื้นฟูเซลล์ผิวและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหน้าได้อย่างเป็นธรรมชาติ
- ผู้ที่ต้องการลดเลือนรอยดำจากแสงแดดหรือสิว: PRP ช่วยลดรอยดำหรือจุดด่างดำที่เกิดจากการเผชิญแสงแดดหรือรอยสิวเก่าๆ ทำให้ผิวดูสม่ำเสมอและกระจ่างใสมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง
- ผู้ที่มีปัญหารอยแผลเป็นหรือรอยหลุมสิวลึกเล็กน้อย : ผู้ที่มีรอยแผลเป็นจากสิวหรือรอยหลุมสิวที่ลึกเพียงเล็กน้อยจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเมื่อทำอย่างต่อเนื่อง ประมาณทุก 4-6 สัปดาห์เป็นระยะเวลา 3-4 ครั้ง ซึ่งจะช่วยให้รอยแผลเป็นตื้นขึ้น
- ผู้ที่ต้องการดูแลผิวโดยไม่ผ่าตัด : สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวหน้าแบบเป็นธรรมชาติและปลอดภัย PRP เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นการใช้ส่วนผสมจากร่างกายของตนเอง ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้ในระยะยาว
กลุ่มคนที่ควรหลีกเลี่ยง
- ผู้ที่มีภาวะเลือดผิดปกติ : ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือดหรือเกล็ดเลือดต่ำ ควรหลีกเลี่ยงการฉีด PRP เนื่องจากภาวะเหล่านี้อาจทำให้การสกัดและการฉีดไม่ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ และยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร : หัตถการนี้ไม่แนะนำสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากยังไม่มีการวิจัยที่เพียงพอในการยืนยันความปลอดภัยของ PRP ในกลุ่มบุคคลเหล่านี้ จึงควรรอจนกว่าจะพ้นระยะให้นมบุตรก่อนเข้ารับการฉีด
- ผู้ที่มีโรคติดต่อทางเลือด : ผู้ที่มีโรคติดต่อทางเลือด เช่น HIV หรือไวรัสตับอักเสบชนิด B และ C ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากการสกัดพลาสมาจากเลือดของตนเองอาจเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ และเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
- ผู้ที่มีภาวะที่อาจลดประสิทธิภาพของ PRP : ภาวะต่างๆ เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือการใช้ยาต้านการอักเสบเป็นประจำ อาจส่งผลให้ PRP ไม่สามารถให้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง เนื่องจากการตอบสนองของร่างกายต่อการรักษาอาจลดลง
ปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจ
ก่อนการตัดสินใจทำ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวและตรวจสอบประวัติสุขภาพเบื้องต้น การปรึกษาแพทย์มีความสำคัญอย่างมากเพราะจะช่วยให้ทราบถึงผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ รวมถึงแนะนำจำนวนครั้งและความถี่ที่เหมาะสมสำหรับการทำ PRP นอกจากนี้ แพทย์จะช่วยประเมินความพร้อมของร่างกาย เช่น การใช้ยาบางชนิดหรือภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อการรักษา เพื่อให้มั่นใจว่าการทำ PRP จะปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
PRP กับวิธีการฟื้นฟูผิวอื่น ๆ ความแตกต่างและข้อดีของแต่ละวิธี
เทียบกับฟิลเลอร์
การฉีด PRP และฟิลเลอร์ต่างเป็นวิธีการฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยม แต่มีข้อแตกต่างที่สำคัญในการทำงานและผลลัพธ์ การฉีด PRP ใช้พลาสมาจากเลือดของผู้เข้ารับบริการเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว ซึ่งผลลัพธ์จะเริ่มเห็นได้ชัดหลังจาก 3-4 สัปดาห์และยาวนานถึง 12-18 เดือน ในขณะที่การฉีดฟิลเลอร์จะเน้นผลลัพธ์ที่เห็นได้ทันที โดยใช้สารเติมเต็ม (เช่น กรดไฮยาลูโรนิก) เพื่อเติมเต็มบริเวณที่ขาดวอลลุ่มหรือร่องลึกบนใบหน้า ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วแต่คงอยู่ประมาณ 6-12 เดือน PRP จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวด้วยวิธีการแบบธรรมชาติและยั่งยืน ในขณะที่ฟิลเลอร์เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
การฉีดโบท็อกซ์
โบท็อกซ์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมสำหรับการลดริ้วรอย โดยเฉพาะริ้วรอยที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อ เช่น รอยย่นบริเวณหน้าผากและรอบดวงตา โบท็อกซ์ทำงานโดยการลดการหดตัวของกล้ามเนื้อ จึงทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้นทันทีและให้ผลอยู่ได้นานประมาณ 3-6 เดือน ในขณะที่ PRP ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหน้า ทำให้ผิวฟื้นฟูจากภายใน ส่งผลให้ผิวดูยืดหยุ่นและเรียบเนียนขึ้นในระยะยาว ความแตกต่างสำคัญคือ PRP มุ่งเน้นการฟื้นฟูสภาพผิวอย่างธรรมชาติและยั่งยืน ในขณะที่โบท็อกซ์เน้นผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจงและเห็นผลเร็วกว่า
การกระตุ้นอิลาสตินเมื่อเทียบกับ Microneedling
PRP มีจุดเด่นในการฟื้นฟูผิวจากภายใน ด้วยกลไกธรรมชาติของร่างกาย โดยใช้พลาสมาจากเลือดของผู้รับการรักษาเอง ทำให้ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการแพ้หรือการติดเชื้อ กระบวนการนี้ช่วยกระตุ้นการสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนในระยะยาว ส่งผลให้ผิวดูยืดหยุ่น กระชับ และคงความอ่อนเยาว์ได้ยาวนาน ในขณะที่ Microneedling เน้นกระตุ้นการฟื้นฟูในระดับผิวชั้นนอก
สรุปจุดเด่นของ PRP ในการบำรุงผิวหน้า
หัตถการนี้มีจุดเด่นสำคัญในเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากเป็นการใช้เลือดของตัวเองในการฟื้นฟูผิว ลดความเสี่ยงต่อการแพ้หรือการติดเชื้อ และไม่มีสารเคมีเติมแต่ง นอกจากนี้ PRP ยังเป็นวิธีการที่สอดคล้องกับกระบวนการธรรมชาติของร่างกาย ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเส้นใยในผิวให้แข็งแรง ซึ่งทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ยาวนานและดูเป็นธรรมชาติ สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลผิวหน้าแบบยั่งยืนและต้องการผลลัพธ์ที่คงอยู่ในระยะยาว PRP จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
การฉีด PRP เป็นหนึ่งในวิธีการฟื้นฟูผิวที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง เพราะมีจุดเด่นทั้งในเรื่องของประสิทธิภาพและความปลอดภัย ซึ่งเป็นการใช้พลาสมาจากเลือดของตนเองในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและฟื้นฟูผิว จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบำรุงผิวหน้าแบบธรรมชาติที่ปราศจากสารเคมี การฉีด PRP ไม่เพียงช่วยลดริ้วรอย รอยดำ และปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียนขึ้น แต่ยังช่วยเสริมให้ผิวดูอ่อนเยาว์และกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพผิวและรับคำแนะนำในการรักษาเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะจะช่วยให้คุณได้ทราบถึงแนวทางการดูแลที่เหมาะสมกับสภาพผิวและเป้าหมายของคุณอย่างแท้จริง
คำถามที่พบบ่อย
- PRP เหมาะกับคนที่มีปัญหาผิวแบบไหน?
การฉีด PRP เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์โดยไม่ใช้สารเคมี เช่น ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็กๆ รอยดำจากแสงแดด หรือรอยแผลเป็นจากสิว นอกจากนี้ยังช่วยกระชับรูขุมขนและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งขึ้น
- การฉีด PRP ต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
สำหรับการเห็นผลที่ชัดเจน แพทย์มักแนะนำให้ทำ PRP อย่างต่อเนื่องประมาณ 3-4 ครั้ง ทุก 4-6 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิวได้ชัดเจน เช่น ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น ริ้วรอยที่ดูจางลง และผิวที่กระชับขึ้น
- หลังการฉีด PRP ควรดูแลผิวอย่างไรบ้าง?
หลังการฉีด PRP ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดโดยตรงในช่วง 24-48 ชั่วโมง และควรใช้ครีมกันแดดที่มี SPF สูงเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรงหรือการแต่งหน้าในช่วงแรก เพื่อให้ผิวได้ฟื้นตัวเต็มที่ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอและใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยนเพื่อผลลัพธ์ที่ดี
- PRP มีผลข้างเคียงหรือไม่?
การฉีด PRP ถือว่ามีความปลอดภัยสูงเนื่องจากใช้เลือดจากร่างกายของผู้เข้ารับการรักษาเอง อย่างไรก็ตาม อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น อาการบวม แดง หรือช้ำเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาการเหล่านี้มักหายไปภายใน 3-5 วัน หากมีอาการบวมมากขึ้น ควรปรึกษาแพทย์
อ้างอิง
- Nicklya Harris-Ray, What Is a Platelet-Rich Plasma (PRP) Facial?, Webmd, June 10, 2024, https://www.webmd.com/beauty/what-is-platelet-rich-plasma-prp-facial.
- Is platelet-rich plasma the secret to younger-looking skin?, AAD, February 2, 2015, https://www.aad.org/public/cosmetic/younger-looking/platelet-rich-plasma-secret-to-younger-skin.
- What Exactly Are PRP Facial Treatments?, Allure, April 29, 2024, https://www.allure.com/story/vampire-facial-prp-treatment-guide